วันพุธที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2559

Orysamin ออริซามิน สารสกัดจากน้ำมันรำข้าว ที่ให้มากกว่าคำว่าน้ำมันรำข้าวทั่วไป

Orysamin ออริซามิน

Gamma oryzanol (แกมม่า ออริซานอล)
สารสำคัญที่ทรงคุณค่าจากจมูกข้าวและรำข้าวถูกคัดสรรจาก
ข้าวสายพันธุ์ดีจากประเทศญี่ปุ่น ส่วนที่พบสารแกมม่า ออริซานอล
มากที่สุดได้แก่ จมูกข้าว และรำข้าว  ซึ่งคุณสมบัติ
สามารถต้านอนุมูลอิสระ ได้ดีกว่าวิตามินอีถึง 6 เท่า ช่วยป้องกัน
การเกิดเซลล์ผิดปกติ หรือที่เรียกว่าเซลล์มะเร็ง(Cancer)
ช่วยลดระดับของไขมันในเลือด ทั้งคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดี LDL
และ ไตรกลีเซอไรด์ ได้ดี
ลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจอุดตัน เพิ่มความแข็งแรงของ
หลอดเลือด เพิ่มการหลั่งสารเอ็นดอร์ฟิน (Endophine) ช่วยผ่อน
คลายความเครียดและทำให้หลับสบายขึ้น
สามารถป้องกันเซลล์ผิวจากการถูกทำลายด้วยแสงแดด
ยับยั้งการทำงานของ เอ็นไซม์ไทโรซิเนส ทำให้ผิวดูกระจ่างสดใสขึ้น
กระตุ้นการหลั่งฮอร์โมนสำหรับการเจริญเติบโต (Growth Hormone)
สามารถลดการสูญเสียแคลเซียม ลดอัตราการเกิดโรคกระดูกพรุน

สารสกัดเซซามิน (Sesamin Extract)
สารสกัดจากเมล็ดงาดำ มีสารลิกแนน(Lignans) ซึ่งมีคุณสมบัติ
ช่วยยับยั้งการเสื่อมสลายของกระดูกอ่อน ลดภาวะการเกิดข้อเสื่อม
เสริมสร้างมวลกระดูกให้แข็งแรงขึ้น  ป้องกันโรคปวดข้อ  ข้อบวม  ข้อเสื่อม
เติมคอลลาเจน (Collagen) และกรดไฮยาลูรอนิค (Hyaluronic acid)
คงความชุ่มชื้น  ยืดหยุ่น  ให้กับผิว
ช่วยในการเผาผลาญ สลายไขมัน  เสริมสร้างกล้ามเนื้อ
ลดการดูดซึมและการสังเคราะห์คอเลสเตอรอลในเลือด
ช่วยลดระดับไขมันในเลือด ป้องกันหลอดเลือดหัวใจ และ
หลอดเลือดสมองอุดตัน
ช่วยป้องกันการเสื่อมของเซลล์ในระบบประสาท
ช่วยลดความเครียด ทำให้หลับสบายขึ้น
ช่วยต้านอนุมูลอิสระ ป้องกันการเสื่อมของเซลล์
มีฤทธิ์ต้านการอักเสบของเซลล์
โคเอนไซม์คิวเทน (Coenzyme Q10)
เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ที่มีความสำคัญต่อการสร้างพลังงานให้กับเซลล์ มีคุณสมบัติ
ช่วยเพิ่มประสิทธิการทำงานของกล้ามเนื้อหัวใจ
ช่วยยับยั้งการจับตัวเป็นก้อนแข็งของเลือด ป้องกันลิ่มเลือดอุดตันในหลอดเลือด
ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในหลอดเลือด
ช่วยชะลอการเสื่อมของเซลล์
ช่วยในการบำรุงผิวพรรณ ลดเลือนริ้วรอย
ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคความดันโลหิตสูง


คลิปรีวิวลูกค้าที่ได้ทานออริซามิน
โรคไขมันเกาะตับ  https://youtu.be/TvxlrX_lZ44
โรคภูมิแพ้  https://youtu.be/YYBCzb_1-5A
โรคปวดหัว , โรคมายเกรน  https://youtu.be/JantU-nVeiQ
โรคปลายประสาทอักเสบ   https://youtu.be/hiqtXzIeT08
โรคไวรัสตับอักเสบบี   https://youtu.be/YuadIN-u_4M

ปรึกษาปัญหาสุขภาพได้ที่ 098-284-6224 , 096-857-8124
หรือ ติดตามข้อมูลจาก 
Fanpage --  https://www.facebook.com/Successmore.Orysamin

#successmore #ไขมันในเลือด #เส้นเลือดในสมองแตก
#รับตัวแทนจำหน่าย #ไขมันเกาะตับ #ไขมันไตรกลีเซอไรด์
#น้ำมันรำข้าว #ไขมันอุดตันเส้นเลือด #ไขมันพอกตับ

วันจันทร์ที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2559

รู้เท่าทัน โรคหลอดเลือดสมอง ตีบ ตัน แตก

โรคหลอดเลือดสมอง ตีบ ตัน แตก




โรคหลอดเลือดสมอง เป็นปัญหาสำคัญที่สร้างความวิตกกังวลเป็นอย่างมาก 
เพราะหากเกิดขึ้นและรักษาไม่ทันการณ์ทำให้เป็นอัมพฤกษ์หรืออัมพาต 
หรืออาจถึงขั้นเสียชีวิตได้     

โรคหลอดเลือดสมองตีบ เกิดจากความผิดปกติของหลอดเลือดที่
ไปเลี้ยงสมอง โดยความผิดปกตินั้นมี 2 ชนิด คือ  ชนิดตีบหรืออุดตัน  ชนิดแตก  
โดยทั่วไปโรคหลอดเลือดสมองตีบอุดตันพบได้ร้อยละ 80  ในขณะที่ชนิดแตกพบได้
ร้อยละ 20  ซึ่งอาการทั้ง 2 ชนิดนี้  คือ อาการเฉียบพลันของทางระบบประสาท 
เช่น อ่อนแรงครึ่งซีก ชาครึ่งซีก ปากเบี้ยวพูดไม่ได้ กลืนลำบาก ภาพซ้อน เป็นต้น

กลุ่มเสี่ยงที่จะเป็นโรคสมอง ได้แก่ กลุ่มผู้สูงอายุ และกลุ่มที่มีปัจจัยเสี่ยง เช่น 
ความดันโลหิตสูง เบาหวาน ไขมันในเลือดสูง การสูบบุหรี่ ภาวะน้ำหนักเกิน 
รวมทั้งหัวใจเต้นผิดจังหวะ

อาการของโรคหลอดเลือดสมอง 
เริ่มแรกเป็นอาการผิดปกติทางระบบประสาทที่เกิดเฉียบพลัน เช่น อ่อนแรง ชา โดยจะเป็น
ครึ่งซีกหรือแม้กระทั่งพูดไม่ได้ มองไม่เห็น รวมทั้งการปวดหัวอย่างรุนแรงเฉียบพลันด้วย

การรักษาประกอบด้วย 
การให้ยาสลายลิ่มเลือดที่จะให้ทางหลอดเลือดดำ โดยในปัจจุบันสามารถให้ได้ 
3-4 ชั่วโมงครึ่ง ขึ้นกับข้อบ่งชี้ของคนไข้ นอกจากนั้นก็จะมีการใช้สายตรวจที่สอดสายเข้า
ไปแล้วฉุดลากลิ่มเลือดออกมา เพื่อที่จะเปิดหลอดเลือดใหญ่ให้ได้

ส่วนในเรื่องของอาหารก็สำคัญ ที่แนะนำคือ ผักสด เนื้อสัตว์ ไม่กินมัน ไม่กินหนัง 
หลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงทุกอย่าง เพื่อรักษาระดับความดัน ไขมัน น้ำตาลและน้ำหนักตัว
ให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ

การรักษาโรคหลอดเลือดสมอง 
เวลาเป็นปัจจัยสำคัญ ยิ่งรักษาเร็วยิ่งได้ผลดี ที่กล่าวกันว่า มาพบแพทย์ภายใน 
3-4 ชั่วโมงครึ่ง แพทย์จะให้ยาสลายลิ่มเลือดแต่ความเป็นจริงแล้ว  
ถ้าผู้ป่วยได้รับยาสลายลิ่มเลือดภายในครึ่งชั่วโมงหรือ 1 ชั่วโมง 
โอกาสหายเป็นปกติมีสูงถึง 3 เท่าของกลุ่มที่ไม่ได้รับยา และโอกาสนั้นลดลงเรื่อย ๆ 
เมื่อเวลาผ่านไป

สำหรับผู้ที่มีความเสี่ยง เช่น ผู้ที่มีความดันโลหิตสูง บางครั้งจะไม่เกิดอาการ 
แต่หากท่านตรวจพบแล้วได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นความดันโลหิตสูง ขอให้รับประทานยา
และปฏิบัติตัวควบคุมความดันโลหิตให้อยู่ให้เกณฑ์ปกติ  หาก ไม่แน่ใจให้ปรึกษาแพทย์

สิ่งสำคัญสำหรับโรคนี้ การเฝ้าระวังตนเอง หมั่นสังเกตอาการ ควบคู่ไปกับการพบแพทย์
พื่อตรวจร่างกายและสุขภาพอย่างสม่ำเสมอเป็นอีกทางหนึ่งที่ช่วยให้ห่างไกลจากโรคนี้ได้ 

แต่ถ้าเป็นแล้ว หรือ มีอาการก็มีทางเลือก คือ การรักษาด้วยแพทย์ทางเลือกควบคู่กัน
ซึ่งเป็นการรักษาอีกทางควบคู่กับการรักษาจากยาปัจจุบัน ในที่นี้แนะนำ Orysamin ออริซามิน


ปรึกษาปัญหาสุขภาพได้ที่ 098-284-6224 , 096-857-8124
หรือ ติดตามข้อมูลจาก 
Fanpage --  https://www.facebook.com/Successmore.Orysamin

คลิปรีวิวลูกค้าทานออริซามินแล้วดีขึ้น https://youtu.be/TvxlrX_lZ44

อ้างอิงบทความ ......
รศ.นพ.ยงชัย นิละนนท์ ภาควิชาอายุรศาสตร์ Faculty of Medicine Siriraj Hospital
คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล


#successmore #ไขมันในเลือด #เส้นเลือดในสมองแตก #Orysamin
#รับตัวแทนจำหน่าย #ไขมันเกาะตับ #ไขมันไตรกลีเซอไรด์ #ออริซามิน

#น้ำมันรำข้าว #ไขมันอุดตันเส้นเลือด #ไขมันพอกตับ #ไขมันในเลือดสูง

วันพฤหัสบดีที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2559

โรคไขมันพอกตับ

ไขมันพอกตับ

โรคไขมันพอกตับ (fatty liver disease) เป็นกลุ่มของโรคที่เกิดจากการสะสมไขมันในตับ 
และเป็นสาเหตุที่พบได้บ่อยที่สุดที่ทำให้ผลการตรวจการทำงานของตับผิดปกติเล็กน้อย 
โรคนี้มักไม่ทำให้เกิดการเจ็บปวด แต่บางครั้งจะบ่งชี้ถึงปัญหาสุขภาพด้านอื่นๆ

สาเหตุของโรคไขมันพอกตับ
สาเหตุของโรคไขมันพอกตับสามารถแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่
  • จากการดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ (alcoholic fatty liver disease) 
  • ความรุนแรงของโรคจะขึ้นกับประเภท ปริมาณ และระยะเวลาที่ดื่มแอลกอฮอล์
  • ไม่ได้เกิดจากแอลกอฮอล์ (non-alcoholic fatty liver disease) 
  • โดยมีผลจากโรคที่เกี่ยวข้องกับการใช้พลังงานของร่างกาย เช่น โรคอ้วน เบาหวาน 
  • ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง ไวรัสตับอักเสบซี


กลไกการเกิดโรคไขมันพอกตับ
ตับทำหน้าที่เหมือนแบตเตอรี่เก็บสะสมพลังงาน การรับประทานอาหารมากเกินไป
ทำให้เกิดไขมันก่อตัวขึ้นในตับ เมื่อตับไม่ได้นำไขมันไปใช้หรือไม่ย่อยสลายไขมัน
ตามที่ควรจะเป็นก็จะเกิดไขมันสะสมขึ้นที่ตับ ในผู้ที่มีภาวะของโรคอื่นๆ เช่น โรคอ้วน
เบาหวาน ไขมันในเลือดสูง รวมถึงการดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์มากเกินไป 
การลดน้ำหนักอย่างรวดเร็ว และภาวะขาดสารอาหารก็อาจทำให้เกิดโรคไขมันพอกตับได้ 
อย่างไรก็ตามอาจมีผู้ป่วยบางรายที่เกิดไขมันพอกตับได้โดยไม่มีโรคเหล่านี้เลย

ปัจจัยเสี่ยงของโรคไขมันพอกตับ
  • โรคอ้วน ประมาณร้อยละ 20 ของคนที่เป็นโรคอ้วนจะมีโรคไขมันพอกตับอยู่ด้วย
  • น้ำหนักตัวมากเกิน (ดัชนีมวลกายหรือ BMI 25-30)
  • เบาหวาน
  • ดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์มาก
  • รับประทานอาหารที่มีรสหวานมากเกินไป เช่น ดื่มชาเขียวที่มีรสหวานแทนน้ำ

ระยะการดำเนินโรคไขมันพอกตับ 
โรคไขมันพอกตับแบ่งระยะการดำเนินโรคได้เป็น 4 ระยะ ดังนี้ระยะแรก เป็นระยะที่มีไขมันสะสมอยู่ในเนื้อตับ แต่ยังไม่มีการอักเสบหรือ
พังผืดเกิดขึ้นในตับ
ระยะที่สอง เป็นระยะที่เริ่มมีอาการอักเสบของตับ ในระยะนี้หากไม่ควบคุมดูแล
ให้ดีและปล่อยให้การอักเสบดำเนินไปเรื่อยๆ เกินกว่า 6 เดือนอาจกลายเป็นตับอักเสบเรื้อรัง
ระยะที่สาม การอักเสบรุนแรง ก่อให้เกิดพังผืดในตับ เซลล์ตับค่อยๆ ถูกทำลายลง
ระยะที่สี่ เซลล์ตับถูกทำลายไปมาก ตับไม่สามารถทำงานได้ตามปกติอีกต่อไป 
ทำให้ตับแข็งและอาจกลายเป็นมะเร็งตับได้ในที่สุด


อาการ
โดยทั่วไปโรคไขมันพอกตับไม่ทำให้เกิดอาการทางร่างกาย หรือหากมีอาการก็อาจเป็น
อาการที่ไม่เฉพาะเจาะจงมากพอที่จะบ่งบอกโรคได้ เช่น อ่อนเพลีย คลื่นไส้เล็กน้อย 
รู้สึกตึงบริเวณใต้ชายโครงขวา โดยส่วนใหญ่การตรวจพบโรคไขมันพอกตับจึงมักพบ
เมื่อผู้ป่วยเข้ารับการเจาะเลือดตรวจสุขภาพประจำปีหรือตรวจทางการแพทย์ด้วยเหตุผลอื่นๆ 

การวินิจฉัยโรคไขมันพอกตับ
  • การตรวจเลือด
  • การตรวจอัลตราซาวนด์
  • การตรวจคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
  • การเจาะชิ้นเนื้อตับมาตรวจ
  • การตรวจระดับความแข็งของตับและวัดปริมาณไขมันในตับด้วยเครื่อง FibroScan

แนวทางในการป้องกันและลดความเสี่ยงจากโรคไขมันพอกตับ1. หากมีน้ำหนักตัวมาก ควรลดน้ำหนักโดยให้อยู่ในระดับที่ปลอดภัย เช่น 
0.25-0.5 กิโลกรัม/สัปดาห์ จนกระทั่งน้ำหนักตัวอยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม
2. ออกกำลังกายเป็นประจำอย่างน้อยสัปดาห์ละ 5 วัน หากเป็นไปได้ควร
ออกกำลังกายทั้งแบบแอโรบิกและแบบมีแรงต้าน เช่น เดินเร็วครึ่งชั่วโมง 
แล้วตามด้วยการยกน้ำหนักแบบแรงกระแทกต่ำ
3. รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาหารที่มีไขมันต่ำ 
กากใยสูง และให้พลังงานต่ำ 
4. หากเป็นเบาหวานหรือไขมันในเลือดสูง ควรควบคุมโรคให้ดีด้วยการรับประทานยา
ตามแพทย์สั่ง ควบคุมอาหาร และออกกำลังกาย
5. หลีกเลี่ยงการรับประทานยาหรือผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่นอกเหนือจากที่แพทย์สั่ง
6. หลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ 
7. ตรวจสุขภาพเป็นประจำ



ปรึกษาปัญหาสุขภาพได้ที่ 098-284-6224 , 096-857-8124
หรือ ติดตามข้อมูลจาก 
Fanpage --  https://www.facebook.com/Successmore.Orysamin

คลิปรีวิวลูกค้าทานออริซามินแล้วดีขึ้น https://youtu.be/TvxlrX_lZ44

#successmore #ไขมันในเลือด #เส้นเลือดในสมองแตก #Orysamin
#รับตัวแทนจำหน่าย #ไขมันเกาะตับ #ไขมันไตรกลีเซอไรด์ #ออริซามิน
#น้ำมันรำข้าว #ไขมันอุดตันเส้นเลือด #ไขมันพอกตับ #ไขมันในเลือดสูง

วันเสาร์ที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2559

ระวัง!! ตาบอดจากโรคเบาหวาน

ระวัง!! ตาบอดจากโรคเบาหวาน
โดย : รศ.นพ.อภิชาติ  สิงคาลวณิช



        โรคเบาหวานทำให้มีการเปลี่ยนแปลงทางตาเกิดอาการตามัว 
จนกระทั่งถึงตาบอดได้ !!...

        โรคเบาหวาน เป็นโรคที่เกิดจากมีความผิดปกติของระดับฮอร์โมนอินสุลิน 
ที่ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดโดยผู้ป่วยจะมีระดับฮอร์โมนอินสุลินต่ำทำให้ระดับน้ำตาล
ในเลือดสูงขึ้น มีน้ำตาลออกมากับปัสสาวะ อาการเริ่มแรกที่ปรากฏคือปัสสาวะบ่อย 
กระหายน้ำอ่อนเพลีย เมื่อเป็นโรคนานขึ้น  จะมีการชาตามปลายมือ ปลายเท้า 
มีการเปลี่ยนแปลงในหลอดเลือดตามอวัยวะต่าง ๆ ผนังหลอดเลือดจะหนาตัวขึ้น 
โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่หัวใจ ไต และ ตา

          การตรวจที่ทำให้ทราบว่าเป็นเบาหวาน คือ ตรวจพบมีน้ำตาลในปัสสาวะ
และ การตรวจเลือดพบมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงกว่าปกติ

สาเหตุของตามัวและตาบอดในโรคเบาหวาน



          โรคเบาหวานทำให้มีการเปลี่ยนแปลงทางตา เกิดอาการตามัว จนกระทั่งถึง
ตาบอดได้ ถ้าเป็นโรคนานหลายปี อาการตามัวจากเบาหวานเกิดได้ดังนี้

  ตามัวขณะที่มีระดับน้ำตาลในเลือดสูง

          ผู้ป่วยเบาหวานอาจมีอาการตามัวในขณะที่มีระดับน้ำตาลในเลือดสูง 
เนื่องจากเลนส์ตาเกิดการบวมน้ำ เวลามองภาพไม่สามารถปรับโฟกัสภาพให้เห็นชัด
ได้ลักษณะที่เกิดเหมือนกับคนที่มีสายตาสั้น อาการเหล่านี้เกิดเพียงชั่วคราว 
เมื่อควบคุมระดับน้ำตาลให้อยู่ในเกณฑ์ปกติระดับสายตาจะกลับดีขึ้นได้

  ตามัวเนื่องจากเป็นต้อกระจก

          ผู้ป่วยที่เป็นเบาหวานนาน ๆ เลนส์ตาที่ใสจะขุ่น ที่เราเรียกว่าต้อกระจก 
เกิดเนื่องจากน้ำตาลในเลือดมีการเปลี่ยนแปลงเป็นสารซอบิตอล และฟรุคโตส 
ซึ่งสารเหล่านี้จะสะสมที่เลนส์ตา ทำให้เลนส์ตาขุ่นบังแสงมิให้เข้าสู่นัยน์ตา วิธีรักษาคือ 
เมื่อต้อกระจกขุ่นมาก ทำการผ่าตัดเอาเลนส์ที่ขุ่นออก และให้ผู้ป่วยใส่แว่น

  ตามัวเนื่องจากมีการเปลี่ยนแปลงที่จอประสาทตา

          สาเหตุเกิดจากจุดรับภาพที่จอประสาทตาบวม มีเลือดออกภายในลูกตาดำ
เกิดเยื่อพังผืดดึงรั้งให้จอประสาทตาลอก จอประสาทตาของคนปกติ ประกอบด้วย
เส้นเลือดจำนวนมากแผ่เป็นร่างแหเลี้ยงเซลล์ประสาทตา การรับรู้ภาพเกิดโดยแสงจากวัตถุ
ผ่านตาดำและเลนส์ตาหักเหรวมแสงให้ภาพตกที่จอประสาทตาและการรับรู้ถ่ายทอดจาก
จอประสาทตาผ่านตามเส้นประสาทจากนัยน์ตาไปยังสมอง

          ผู้ป่วยที่เป็นเบาหวานมานาน จอประสาทตามีการเปลี่ยนแปลง โดยในระยะแรก
หลอดเลือดฝอยที่ประสาทตา มีการโป่งพอง และอาจแตกเห็นเป็นจุดเลือดออกเล็ก ๆ 
อาจพบไขมันออกจากผนังหลอดเลือดไขมันเหล่านี้ถ้ารวมอยู่บริเวณจุดรับภาพ 
จะทำให้ตามัว มองภาพไม่ชัด 

          ผู้ป่วยที่เป็นเบาหวานมานานเป็นสิบ ๆ ปี จอประสาทตาส่วนที่ขาดเลือดจะถูก
กระตุ้นให้เกิดเส้นเลือดขึ้นมาใหม่ ซึ่งมีผนังเปราะและแตกออกง่าย ในระยะที่มี
เส้นเลือดผิดปกติเกิดขึ้นนี้อันตรายมาก เพราะเส้นเลือดแตกง่าย ทำให้เลือดออกภายใน
ลูกตาและตามัวลงทันที นอกจากนี้ผู้ป่วยอาจมีเนื้อเยื่อคล้ายพังผืดงอกตามเส้นเลือด
และ ดึงรั้งให้ชั้นของประสาทตาลอก ทำให้ตาบอดได้

          การเปลี่ยนแปลงที่ชั้นประสาทตาเหล่านี้ พบว่าสัมพันธ์กับระยะเวลา
ที่เป็นเบาหวาน ถ้าเป็นเบาหวานมานาน 15 ปี โอกาสเกิดการเปลี่ยนแปลงที่
จอประสาทตามี 50-60 เปอร์เซ็นต์ และเกิดตาบอดได้ 1-2 เปอร์เซ็นต์

  ตามัวจากต้อหิน

          ผู้ป่วยเบาหวานพบเป็นต้อหินได้ เนื่องจากเกิดเส้นเลือดที่ผิดปกติ
ที่บริเวณม่านตา (เป็นส่วนตาดำที่มองเห็น) เส้นเลือดเหล่านี้จะอุดทางเดินของ
น้ำภายในลูกตาทำให้ความดันตาสูง ผู้ป่วยมีอาการปวดตา ตามัวและเมื่อเป็นนาน
เข้าความดันจะกดให้ประสาทตาฝ่อและตามบอดได้


 การป้องกันมิให้สายตาเสื่อมลง

  ตรวจสุขภาพตาเป็นระยะ ๆ 

          ผู้ป่วยเบาหวาน ควรได้รับการตรวจสายตา และจอประสาทตาโดยแพทย์การ
เปลี่ยนแปลงที่ตรวจพบได้ในระยะแรกคือการโป่งพองของเส้นเลือดฝอยที่จอประสาทตา 
สิ่งสำคัญที่บอกถึงการพยากรณ์โรค และอัตราเสี่ยงต่อการเกิดตาบอดในภายหลังก็คือ 
การพบเส้นเลือดที่ผิดปกติที่เกิดขึ้นใหม่ ซึ่งเห็นได้โดยการใช้กล้องตรวจดูประสาทตา 
หรือฉีดสีเข้าเส้นเลือด และถ่ายภาพดูเส้นเลือดที่ประสาทตา

  ควบคุมระดับน้ำตาลให้ใกล้เคียงปกติ

          ถึงแม้ในปัจจุบันยังไม่ทราบแน่ชัดว่าการควบคุมระดับน้ำตาลจะช่วยยับยั้ง
การเปลี่ยนแปลงของประสาทตามิให้เลวลง ได้ผลจริงหรือไม่ แต่การควบคุมระดับ
น้ำตาลในเลือด ก็สามารถลดภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ ของโรค จึงเป็นสิ่งที่ควรกระทำอย่างยิ่ง

  การจี้ด้วยแสงเลเซอร์

          แสงเลเซอร์ เป็นสิ่งที่มีความยาวของคลื่นแสงขนาดเดียวกัน สามารถปรับให้
ลำแสงมีขนาดเล็กมาก แสงนี้สามารถผ่านตาดำ เลนส์ตา และเมื่อกระทบกับประสาทตา 
จะถูกเปลี่ยนพลังงานจากพลังงานแสงเป็นพลังงานความร้อน

          การใช้แสงเลเซอร์จี้ที่ประสาทตา ทำให้ส่วนของจอประสาทตาที่ขาดเลือด
ต้องการออกซิเจนลดลง เป็นการป้องกันมิให้เกิดเส้นเลือดใหม่ที่ผิดปกติ นอกจากนี้
แสงเลเซอร์ยังใช้จี้เส้นเลือดที่ผิดปกติที่เกิดขึ้นแล้ว ให้ฝ่อไปได้

          สรุป ผู้ป่วยที่เป็นเบาหวานมีผลแทรกซ้อนอันสำคัญทางจักษุ ที่ทำให้ตาบอดก็คือ 
เกิดการเปลี่ยนแปลงในชั้นของประสาทตา เกิดต้อกระจก และต้อหิน การป้องกันมิให้
สายตาเลวลง คือตรวจสุขภาพตาเป็นระยะ ๆ เมื่อพบการเปลี่ยนแปลงที่ประสาท
ตามากขึ้น การรักษาโดยใช้แสงเลเซอร์จะช่วยป้องกันมิให้สายตาเลวลง


หรือ ท่านสามารถศึกษาได้จากคลิป ด้านล่างนี้......


ปรึกษาปัญหาสุขภาพฟรี
Callcenter : 0982846224 , 0968578124
Line : neung_sucess
Fanpage : www.facebook.com/Successmore.target

วันศุกร์ที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2559

Nu Oxy การเพิ่มอ๊อกซิเจนให้ร่างกายห่างไกลโรคร้าย

ผลิตภัณฑ์เสริมอ๊อกซิเจน "Nu Oxy"
#รายแรกและรายเดียวในประเทศไทย ซึ่งประกอบด้วย
✅แร่ธาตุ 78 ชนิด
✅เอนไซม์ 34 ชนิด
✅กรดอะมิโน 17 ชนิด
❤❤คุณสมบัติของ #NuOxy❤❤
✅เพิ่มช่วยเพิ่มอ๊อกซิเจน ให้แก่ร่างกาย
✅ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย
✅มีสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยป้องกันโรคมะเร็ง โรคหัวใจ
✅ช่วยปรับสมดุลในร่างกาย ทำให้รู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเปร่า
✅สำหรับผู้ที่มีบาดแผล จะช่วยสมาน ทำให้แผลหายไวขึ้น
✅ช่วยสร้างเม็ดเลือดแดง และเนื่อเยื่อต่างๆในร่างกาย
✅ปรับสมดุลของต่อมไทรอยด์ เหมาะสำหรีบผู้เป็นโรคไทรอยด์
✅มีส่วนช่วยในการบำรุงประสาทและสมอง
✅ช่วยกำจัดกรดแลคติกในตับ
✅ปรับทำให้เลือดมีสภาวะปกติ (เป็นด่าง ค่า pH 7.4)
เหมาะมากสำหรับผู้ป่ายโรคหลอดเลือด และโรคหัวใจ
✅ช่วยให้ต่อมหมวกไตทำงานได้ดีขึ้น ช่วยให้ระบบ
เผาผลาญสารอาหารในร่างกายดีขึ้นร่างกาย
✅ช่วยลดระดับ คอเลสเตอรอล ในเลือด
แล้วเมื่อมนุษย์มี อ๊อกซิเจนในร่างกายมากขึ้น ร่างกายจึง
แข็งแรงขึ้นค่ะ

#วิธีทาน หยดนูอ๊อกซี่ 8 หยด ลงในน้ำสะอาด หรือ
น้ำผลไม้ 1แก้ว (250 มิลลิลิตร) แล้วใช้ช้อนพลาสติกคน
ดื่มวันละ 2-3 แก้ว
❌#ห้ามใช้ช้อนสแตนเลสคนเด็ดขาด เพราะสแตนเลส
จะดึงแร่ธาตุที่จำเป็นออกจากน้ำที่เราดื่ม
❌#ไม่ควรใส่ใน กาแฟ น้ำอัดลม เหล้า เบียร์
❌#เด็กไม่ควรรับประทาน



คลิป  https://youtu.be/4kW0wOnXVHw

รับตัวแทนจำหน่าย หรือ ปรึกษาปัญหาสุขภาพ
Callcenter : 0968578124 , 0982846224
Line. : neung_success

#successmore #nu_oxy #เพิ่มอ๊อกซิเจน #นอนกรน
#ภูมิแพ้ #พักผ่อนน้อย #หายใจติดขัด #รับตัวแทนจำหน่าย

Flow อาหารเสริมบำรุงสมอง และ ระบบประสาท

#Flow อานุ้ย ชุติปภา ผู้เชี่ยวชาญด้านสมอง แนะนำทาน #โฟลว์
#ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร FLOW #อาหารเสริมเพิ่มพลังสมอง

1. #บำรุงสมอง
☺ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของสมอง
☺ช่วยเพิ่มความจำ สำหรับเด็กใน วัยเรียน ผู้ที่ทำงาน
ใช้สมองเป็นประจำ

2. #ฟื้นฟูระบบประสาท
☺ช่วยขยายหลอดเลือดและการอุดตันของหลอดเลือดในสมอง

3. #ป้องกันโรคอัลไซเมอร์
☺เพิ่มการไหลเวียนเลือดไปเลี้ยงสมอง ลิขสิทธิ์ผู้เดียวใประเทศไทย



คลิป https://youtu.be/ul0SHU2GQYk

#สนใจสินค้าราคาพิเศษติดต่อตัวแทน
☎️ 0982846224 , 0968578124
Line  : http://line.me/ti/p/~neung_success
Fanpage : http://www.facebook.com/Successmore.Flow

#successmore #ขายแบบไม่ต้องขาย #แม่ค้าออนไลน์
#ตัวแทนจำหน่าย #อาชีพเสริม #นักธุรกิจออนไลน์ #ทีมพี่แมค
#โค้ชเงินล้าน #โรงเรียนสอนธุรกิจ #รับสมัครงาน #คนชอบเที่ยว

วันนี้คุณเริ่มต้นดูแลสมอง อวัยวะที่สำคัญแต่ถูกละเลย


วันนี้คุณดูแลสมองของคุณบ้างหรือยัง
ทานอาหารที่บำรุงสมอง กันดีกว่าแก้

ด้วยความปราถจาก Flow อาหารเสริมบำรุงสมองและระบบประสาท



#Flow อานุ้ย ชุติปภา ผู้เชี่ยวชาญด้านสมอง แนะนำทาน #โฟลว์
#ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร FLOW #อาหารเสริมเพิ่มพลังสมอง

1. #บำรุงสมอง
☺ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของสมอง
☺ช่วยเพิ่มความจำ สำหรับเด็กใน วัยเรียน ผู้ที่ทำงาน
ใช้สมองเป็นประจำ

2. #ฟื้นฟูระบบประสาท
☺ช่วยขยายหลอดเลือดและการอุดตันของหลอดเลือดในสมอง

3. #ป้องกันโรคอัลไซเมอร์
☺เพิ่มการไหลเวียนเลือดไปเลี้ยงสมอง ลิขสิทธิ์ผู้เดียวใประเทศไทย

คลิป https://youtu.be/ul0SHU2GQYk

#สนใจสินค้าราคาพิเศษติดต่อตัวแทน
☎️ 0982846224 , 0968578124
Line  : http://line.me/ti/p/~neung_success
Fanpage : http://www.facebook.com/Successmore.Flow

#successmore #ขายแบบไม่ต้องขาย #แม่ค้าออนไลน์
#ตัวแทนจำหน่าย #อาชีพเสริม #นักธุรกิจออนไลน์ #ทีมพี่แมค
#โค้ชเงินล้าน #โรงเรียนสอนธุรกิจ #รับสมัครงาน #คนชอบเที่ยว

วันอาทิตย์ที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2559

เมื่อคุณหมอไม่รู้จักอาหารเสริมบำบัดโรค...ความตายอาจ...กำลังครอบงำคุณ ภาคที่ 2


   มักเเนะนาให้ผู้ประสบภาวะป่วยเรื้อรังได้บริโภคสารอาหารที่จำเป็นกับเซลล์เเละเนื้อเยื่อในระดับที่เหมาะสมเพื่อหยุดกระบวนการ
อักเสบดังนั้นร่างกายควรจะได้รับวิตามินอีในระดับสูงที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ภายใต้คอลเลสเตอรอลLDL เพื่อป้องกันผลจากการเกิด
ปฏิกิริยาอ๊อกซิเดชั่นรวมถึงต้องได้รับวิตามินซีในระดับที่เหมาะสมเพื่อป้องกันendothelium จากการถูกทาลายเเละเพื่อสร้างวิตามินอี
เเละglutathione เบต้า-เเคโรทีนเเละเเคโรทีนต่างๆที่จาเป็นในการปกป้องหรือขัดขวางเพื่อหน่วงกระบวนการเกิดเหล่านี้ให้เกิดขึ้น
น้อยลงหรือไม่เกิดเลยทั้งนี้เพื่อให้ภายในเซลล์ของทุกๆคนมีระดับของglutathione เพิ่มมากขึ้นด้วยการเสริมสารอาหารต่างๆเหล่านี้
ให้เเก่ร่างกายก่อนอาทิเช่น  วิตามินบี2 N-acetyl-L-cysteine เเละอื่นๆเพื่อลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคกลุ่มระบบไหลเวียนโลหิต
หรือหลอดเลือดหัวใจ
  
   ดร. เรย์ดีเเสตรนด์กล่าวอีกว่าสารอาหารเหล่านี้จำเป็นต้องทำงานร่วมกันเพื่อที่จะกำจัดหรือลดอาการอักเสบของหลอดเลือดเเละ
การปรับสมดุลของโลหิตดังนั้นผลสำเร็จจากการบริโภคสารอาหารต่างๆเหล่านี้เป็นอาหารเสริมคือกุญเเจสู่การบาบัดโรคได้อย่างหนึ่ง
เเละเหตุผลเหล่านี้เองการบำบัดในระดับหน่วยเซลล์จึงมีความสำคัญกับร่างกายอย่างยิ่งการมีร่างกายที่สมบูรณ์เเข็งเเรงไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ
เป็นความสุขที่เราสามารถหาได้ด้วยการดูแลรักษาร่างกายลดเหตุปัจจัยในการก่อให้เกิดโรคต่างๆนายแพทย์เรย์ดีแสตรนด์(Ray D. Strand) 
ผู้เขียนหนังสือ....... “ What your Doctor doesn‟ know about Nutritional Medicine…May be Killing you” 

   ได้ทำการวิจัยและมีประสบการณ์รักษาผู้ป่วยมานานได้ชี้ให้เห็นว่าอนุมูลอิสระที่เกิดขึ้นในร่างกายเป็นตัวทำลายเซลล์ให้เสื่อมลงและ
ก่อให้เกิดโรคภัยมากกว่า70 ชนิดเหตุปัจจัยในการเกิดอนุมูลอิสระในร่างกายได้แก่.......... มลภาวะปนเปื้อนในอาหารน้าอากาศความเครียด
สะสมการออกาลังหรือใช้แรงงานมากเกินพิกัดจะสังเกตได้ว่าปัจจัยต่างๆเหล่านี้หลายอย่างเราไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้เลยแต่
ดร. เรย์ดีแสตรนด์ได้อธิบายถึงวิธีต่อต้านอนุมูลอิสระและใช้หลักการบำบัดรักษาในระดับหน่วยเซลล์ซึ่งพบว่าวิธีนี้เป็นการรักษาด้วยการเพิ่ม
ประสิทธิภาพให้เซลล์ด้วยสารอาหารที่จะเป็นทางให้ผู้ป่วยหายจากโรคต่างๆหลายโรคมามากมายซึ่งยาเคมีที่ใช้ในการแพทย์แผนปัจจุบัน
ไม่สามารถกระทาการรักษาได้
   
   นักวิทยาศาสตร์ที่ทางานวิจัยได้ค้นพบว่าต้นเหตุของการเป็นโรคต่างๆเกี่ยวกับระบบไหลเวียนโลหิตเช่นโรคหัวใจ ไต หอบหืด
ไขมันในเลือด ความดัน เบาหวาน สมองเสื่อม เเละอื่นๆ คือการอักเสบซึ่งส่งผลมาจาก oxiative stress ซึ่งเเพทย์เเละนักวิจัยมักจัดให้
สารอาหารเหล่านี้อยู่ในจำพวกเดียวกับยา  นั่นหมายความว่าพวกเขาจะทำการทดสอบการตอบสนองของร่างกายต่อสารอาหารเพียงหนึ่ง
หรือสองชนิดต่อครั้งเพื่อพวกเขาจะได้เรียนรู้ถึงศักยภาพที่เเท้จริงของมัน  ด้วยเหตุนี้เเพทย์เเละนักวิจัยจึงพากันลังเลที่จะเเนะนำ
สารอาหารเฉพาะใดๆให้กับคนไข้ซึ่งมักเป็นข้อถกเถียงในวงการเเพทย์อยู่เสมอเเพทย์มักต้องการกำจัดข้อสงสัยที่มีอยู่กับการอาหาร
เเต่ละตัวว่าจะสามารถช่วยร่างกายได้จริงหรือไม่ทั้งที่ควรจะลงบันทึกเเละให้คำเเนะนำอาหารเสริมในรูปเเบบต่างๆดังนั้นพวกเขาจึงพลาด
ที่จะเข้าถึงความสำคัญทั้งหมดของสารอาหารที่สามารถบำบัดโรคเเละนั้นหมายถึงชีวิตของคุณเช่นกัน

    ความจริงดังที่กล่าวมานี้นั้นหมายความถึงวิธีการที่การทำงานร่วมกันของสารต้านอนุมูลอิสระหากต้องการที่จะหยุดการเกิด
oxidative stress ร่างกายจะต้องได้รับสารต้านอนุมูลอิสระที่เพียงพอ  เพื่อที่จะรับมือกับอนุมูลอิสระอีกทั้งสารต้านอนุมูลอิสระเหล่านี้
จำเป็นต้องได้รับสารอาหารมาสนับสนุน  เพื่อให้ทำหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อเอาชนะ oxidative stress ที่เป็นพื้นฐานของสาเหตุ
ของเซลล์ถูกทำลายโดยอนุมูลอิสระหรือโรคเสื่อมเรื้อรังซึ่งเป็นสาเหตุของโรคมากกว่าเจ็ดสิบชนิดเเละเป็นสาเหตุการตายของมนุษย์
ในปัจจุบัน

ที่มา : หนังสือ เมื่อคุณหมอไม่รู้จักอาหารเสริมบำบัดโรค..ความตายอาจ..กำลังครอบงำคุณ

วันเสาร์ที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2559

เมื่อคุณหมอไม่รู้จักอาหารเสริมบำบัดโรค...ความตายอาจ...กำลังครอบงำคุณ ภาคที่ 1



   ทุกวันนี้คนเราเจอกับมลภาวะตั้งแต่อากาศที่หายใจ อาหารที่รับประทาน น้ำที่ดื่มทุกวัน ก่อให้เกิดปัญหาอนุมูลอิสระ
สะสมในร่างกายเป็นประจำทุกวันแบบไม่รู้ตัว หนำซ้ำอาวุธที่มนุษย์ มีไว้ต่อต้านอนุมูลอิสระจากธรรมชาติก็ร่อยหรอลงไป
ทุกที จะหาผักผลไม้ปลอดสารพิษได้จากที่ไหน ? แร่ธาตุต่างๆในดินที่ลดลงไปเรื่อยๆ จะทำให้ผลไม้มีคุณค่าเพียงพอ
ได้อีกกี่ปี? เศรษฐกิจซบเงินซื้อผลไม้ก็ดูจะกลายเป็นของฟุ่มเฟือยสำหรับบางครอบครัว หลากหลายปัญหาที่ทำให้มนุษย์
เป็นโรคเสื่อม ทั้งเกิดจากภายนอกและจากภายในคือความเครียดจากการทำงานก็ก่อให้เกิดปัญหากับระบบร่างกายเดียวกัน
วันนี้อาจจะยังแข็งแรงอยู่ แต่ทุกอย่างมันกำลังก่อร่างสร้างตัวอยู่ในร่างกายของคุณนั่นเอง เมื่อใดเม็ดเลือดขาวแพ้ เมื่อนั้นก็
จะแสดงอาการออกมาสารอาหารบำบัดหรือที่ในบ้านเราเรียกกันว่า "ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร" นั้นดูหลายคนจะขยาด และ
อยากวิ่งหนีเมื่อได้ยินเพราะทราบว่าต้องเสียเงิน จริงๆแล้วมันเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง ในการป้องกันเราจากโรคเสื่อมต่างๆ
ที่มีอันดับการตาย เป็นอันดับ 1-10 อยู่ทุกๆ ปี เช่น โรคหัวใจ โรคมะเร็ง โรคไขข้อ โรคหลอดเลือดอุดตัน โรคเบาหวาน 
อีกสารพัด สาเหตุหลักที่เกิดโรคพวกนี้ขึ้นก็เพราะ "เซลล์อ่อนแอ" หรือ "เซลล์ขาดอ๊อกซิเจน" เพราะต้องสู้รบกับอนุมูลอิสระ
ไม่ไหวนั่นเอง จึงเป็นสาเหตุที่เราต้องมอง "สารอาหารบำบัด" เพื่อป้องกันโรคเสื่อม ที่สะสมอยู่ในร่างกาย 

ทำไมต้องใช้สารอาหารบำบัด 
นพ.เรย์ ดี สแตรนด์ (Ray D. Strand, M.D.) ทำการวิจัยเกือบ 10 ปี 
พบว่า คุณประโยชน์ของ "สารอาหารบำบัด" ที่มี คุณภาพสูง สามารถช่วยให้ร่างกายมีสมรรถภาพต่างๆ คือ
1. เพิ่มภูมิต้านทานโรค
2. เพิ่มศักยภาพให้ Antioxidant สารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยป้องกันความเสื่อม ความชรา และมะเร็ง
3. ลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด โรคลมปัจจุบัน มะเร็ง ข้ออักเสบ ความเสื่อม ต้อกระจก อัลไซเมอร์ 
พาร์กินสัน หืด โรคปอด โรคจากความเสื่อมเรื้อรัง
4. ช่วยรักษาโรคที่มีความเสื่อมเรื้อรัง

   จริงอยู่ครับ...คุณหมอบางท่านอาจจะบอกว่า "ทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ ก็พอแล้ว" ถูกต้อง พอแน่นอนถ้าคุณรู้ว่า
ต้องทานอย่างไร ในปริมาณเท่าไร แต่ทุกวันนี้ คุณหมอบอกต่อหรือเปล่าว่า ต้องทานมาก-น้อยแค่ไหน ? ถ้าไม่ทราบ..
ลองตอบคำถามเหล่านี้ดู

ถ้า...คุณตอบว่า ใช่ ในข้อใดข้อหนึ่ง คุณสมควรกิน "สารบำบัด" 
1. คุณไม่ได้กินอาหารดีๆ มีประโยชน์ทุกมื้อ เช่น ข้าวกล้อง ธัญพืช ผัก และผลไม้สดอินทรีย์ (ไร้สารพิษ 100%) เต้าหู้ 
สาหร่ายทะเล ปลา และอาหารทะเลไร้สารพิษ เป็นต้น
2. คุณไม่ได้ทานผักครบ 5 สีทุกมื้อ หรือทานผักผลไม้ครบ 2 กิโลกรัมทุกวัน (หรือ 80% ใน 1 วัน)
3. คุณทานอาหารเป็นประเภททอด ปิ้ง ย่าง ผัด เป็นส่วนใหญ่ และใช้ความร้อนกับน้ามันพืชเกิน 60˚C 
(ก่อให้เกิดอนุมูลอิสระมหาศาลตั้งแต่กระบวนการทำอาหาร จนถึงรับประทานเข้าไป)
4. คุณไม่ได้ออกกำลังกายอย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 ครั้งขึ้นไป
5. คุณอยากมี "สุขภาพดี 120 ปี ไม่มีป่วย" หรืออยากมีสุขภาพดี ดูดี อ่อนกว่าวัย 10- 30 ปี 
อายุ 40 ปี  เริ่มมีโรคเริ่มพบแพทย์ 
อายุ 50 ปี  มีโรคเรื้อรังเช่น  โรคหัวใจเบาหวาน  ความดันโลหิตสูงต้องกินยาตลอดชีวิต 
อายุ 60 ปี  ต้องนอนโรงพยาบาลเป็นมะเร็งหรือผ่าตัดเสียเงินอีกหลายแสนบาท 
อายุ 70 ปี  ต้องนอนโรงพยาบาลนาน  2 - 3 เดือนหรือนอนICU 
อายุ 80 ปี  พิการอัมพาตนอนบนเตียงตลอดชีวิตหรือตาย  
      จริงๆแล้วคุณสามารถป้องกันได้ทั้งหมดด้วยการดูแลเซลให้แข็งแรงอยู่เสมอกระตุ้นเม็ดเลือดขาวให้คอย
ต่อต้านอนุมูลอิสระไม่ให้ส่วนไหนของร่างกายอ่อนแอแต่จะทำได้"สารอาหารบำบัด" จึงจำเป็น

เหตุผลในการเลือกกินผลิตภัณฑ์"สารอาหารบำบัด" ของคนทั่วไป 5 อันดับแร
1. ดีต่อสุขภาพ                     25.5 %
2. แข็งแรงไม่เจ็บป่วยง่าย        24.0 %
3. มีภูมิต้านทานโรค              12.5 %
4. มีประโยชน์ต่อร่างกาย          9.0 %
5. ไม่อยากอ้วน/ ควบคุมน้ำหนัก  4.0 %

ติดตามอ่านต่อ ภาค 2 เร็วๆนี้